จัดฟัน ไม่ได้มีแค่สวย แต่ให้ประโยชน์ด้านสุขภาพที่คุณคาดไม่ถึง
ศูนย์ : ศูนย์ทันตกรรม
บทความโดย : ทพ. วุฒิพงษ์ เหล่าอมต

คุณเคยรู้สึกหรือไม่ว่า อาการปวดแปลบ ๆ ที่ค่อย ๆ ลามไปทั่วหัวไหล่ จนกระทั่ง คุณไม่สามารถยกแขนได้สุด หวีผมไม่ได้ หรือแม้แต่เอื้อมหยิบของบนชั้นสูง ๆ ก็กลายเป็นเรื่องฝันร้าย หากคุณกำลังเผชิญกับข้อจำกัดเหล่านี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณอาจกำลังตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่า ไหล่ติด (Frozen Shoulder) นี่ไม่ใช่แค่ความเมื่อยล้าชั่วคราว แต่คือสัญญาณเตือนที่กำลังบั่นทอนคุณภาพชีวิตของคุณในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ติดขัด การออกกำลังกายที่ต้องหยุดชะงัก การทำกิจวัตรประจำวัน หรือแม้แต่การพักผ่อน
หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม อาการไหล่ติดอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตได้ ฉะนั้นเพื่อให้คุณสามารถดูแลตนเองและคนที่คุณรักให้ห่างไกลจากความเจ็บปวดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรเข้ารับการรักษาให้เร็วที่สุดและทันท่วงที
สารบัญ
- การจัดฟัน (Orthodontic) คืออะไร?
- การจัดฟันมีกี่แบบ?
- ทำไมถึงต้องจัดฟัน มีสาเหตุอะไรบ้างที่บอกว่าควรจัดฟัน?
- ลักษณะฟันแบบไหนที่ควรจัดฟัน?
- การจัดฟันสามารถทำได้ตั้งแต่ตอนไหน?
- การเตรียมพร้อมก่อนจัดฟันครั้งแรกต้องทำอย่างไรบ้าง?
- ขั้นตอนการจัดฟันเป็นอย่างไร?
- การจัดฟันมีข้อดีและข้อจำกัดอย่างไรบ้าง?
- หลังจัดฟัน ทำไมถึงต้องใส่รีเทนเนอร์ (Retainer)
- จัดฟันครั้งแรก เลือกที่ไหนดี?
- จัดฟันที่นครธน ลงทุนเพื่อรอยยิ้มสวยและสุขภาพที่ดี
- ปรึกษาปัญหาสุขภาพ ไม่เสียค่าใช้จ่าย
การจัดฟัน (Orthodontic) คืออะไร?


การจัดฟัน หรือ Orthodontic คือ การรักษาทางทันตกรรมที่มุ่งเน้นการวินิจฉัย ป้องกัน และแก้ไขความผิดปกติของการเรียงตัวของฟันและโครงสร้างขากรรไกร เพื่อให้ฟันมีการจัดเรียงที่ถูกต้องเหมาะสม มีการสบฟันที่เหมาะกับการบดเคี้ยวอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมสุขภาพช่องปากโดยรวมให้ดีขึ้น
นอกจากนี้ หากสงสัยว่าการจัดฟันช่วยอะไรบ้าง ต้องบอกว่าสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดฟันผุและโรคเหงือกได้ เพราะหากฟันของคุณเรียงตัวผิดปกติ มักจะมีซอกมุมที่ยากต่อการทำความสะอาด ขนแปรงเข้าไปไม่ถึง ทำให้เศษอาหารและคราบจุลินทรีย์สะสมได้ง่าย การจัดฟันจะช่วยให้ฟันเรียงตัวเป็นระเบียบ ทำให้การแปรงฟันและการใช้ไหมขัดฟันทำได้ง่ายและทั่วถึงมากขึ้น
การจัดฟันมีกี่แบบ?
หากกำลังเลือกว่าจะจัดฟันแบบไหนดี มาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการจัดฟันนั้นมีหลายรูปแบบ แบ่งออกตามชนิดของเครื่องมือที่ใช้ รูปแบบการจัดฟันจะขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล และดุลยพินิจของทันตแพทย์ โดยการจัดฟันมีแบบไหนบ้างนั้น ดูรายละเอียดได้เลย ที่นี่
- แบบโลหะ เป็นวิธีเบสิคมาตรฐานในการรักษาและใช้กันมาอย่างยาวนาน โดยใช้แบรคเกตโลหะ ลวดจัดฟัน และยางโอริงที่มีหลายสี ใช้ในการดึงฟันให้เคลื่อนฟันไปยังตำแหน่งที่ทันตแพทย์ต้องการ
- แบบเซรามิก มีลักษณะของเครื่องมือคล้ายคลึงกับแบบโลหะ แต่ทำจากวัสดุเซรามิกสีเหมือนฟันทำให้มองเห็นได้ยาก มีการใช้ยางโอริงดึงฟันที่มีสีสันสดใส และลวดที่เป็นสีโลหะเงิน
- แบบเดมอน (Damon) เป็นการจัดฟันด้วยแบรคเกตชนิดดามอนซิสเต็มที่มีล็อกในตัว สามารถเปิด-ปิดบานล็อกลวดจัดฟันได้ ไม่ต้องใช้ยางรัด มีประสิทธิภาพสูง เพราะใช้กลไกบานพับขนาดเล็กที่ยึดกับลวดอย่างหลวม ๆ เพื่อดึงให้ฟันเคลื่อนตัว ไม่เจ็บเท่าการดึงฟันแบบธรรมดา
- แบบใส อินวิสไลน์ (Invisalign) เป็นการจัดฟันแบบไม่ติดเครื่องมือ โดยเป็นเครื่องมือจัดฟันแบบกำหนดเองที่ผลิตจากพลาสติกเกรดพิเศษทางการแพทย์ ช่วยปรับรูปฟันให้ตรงแทนที่เครื่องมือจัดฟันโลหะแบบธรรมดา ซึ่งอินวิสไลน์ (Invisalign) นั้นเป็นการใช้เทคโนโลยีซอฟต์แวร์ Clincheck® คาดการผลลัพธ์ของการจัดฟัน และวางแผนการจัดแนวฟันได้อย่างแม่นยำ
ทำไมถึงต้องจัดฟัน มีสาเหตุอะไรบ้างที่บอกว่าควรจัดฟัน?
การจัดฟันไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อสุขภาพช่องปากและคุณภาพชีวิตโดยรวมอีกด้วย หลายคนอาจไม่ทราบว่าปัญหาฟันที่ดูเล็กน้อยอาจนำไปสู่ปัญหาระยะยาวได้ หากไม่ได้รับการแก้ไข สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ตัดสินใจจัดฟันมีดังนี้
- ปัญหาการเรียงตัวของฟันที่ไม่เป็นระเบียบ เช่น ฟันซ้อนเก ฟันห่าง ฟันยื่น ฟันหลุบ ฟันสบคร่อม
- ปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติ ทำให้การบดเคี้ยวอาหารไม่มีประสิทธิภาพ มีปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อขากรรไกร การสึกหรอของฟันผิดปกติ อาจนำไปสู่อาการเสียวฟันหรือฟันแตกได้
- ปัญหาสุขภาพช่องปาก ฟันที่เรียงตัวไม่เป็นระเบียบทำให้เกิดปัญหาด้านสุขอนามัยในช่องปากได้ง่ายขึ้น ทำความสะอาดได้ยาก เกิดการสะสมของแบคทีเรียและทำให้มีกลิ่นปากได้
- เพื่อปรับปรุงบุคลิกภาพและความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างการพูดคุย ยิ้ม และการแสดงออกในสังคม ทำให้บุคลิกภาพโดยรวมดูดีขึ้น
- ในบางกรณีทันตแพทย์อาจแนะนำให้จัดฟัน โดยเฉพาะก่อนทำการรักษาภายในช่องปากอื่น ๆ เช่น การทำรากฟันเทียม การทำครอบฟัน หรือการทำวีเนียร์ เพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอ หรือเพื่อให้ฟันอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมก่อนการรักษา

ลักษณะฟันแบบไหนที่ควรจัดฟัน?


อาจมีคนสงสัยว่า ฟันแบบไหนควรจัดฟันดี? ปัญหาเกี่ยวกับฟันนั้นมีหลายรูปแบบ แต่ละแบบก็สามารถส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพช่องปากและบุคลิกภาพ การจัดฟันจึงสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้
- ฟันหน้าบนยื่น (ฟันเหยิน) ฟันบนคร่อมฟันล่างและยื่นออกมามาก ทำให้ปากอูม การสบฟันผิดปกติ เสี่ยงฟันหน้าล่างกัดเหงือกบนจนเป็นแผล
- ฟันหน้าล่างยื่น ฟันล่างคร่อมฟันบน ทำให้ใบหน้าดูคางยื่น บางรายอาจทำให้รูปหน้าเบี้ยว มีการสบฟันผิดปกติมาก ๆ อาจมีช่องว่างระหว่างฟันบน-ล่าง ส่งผลต่อการบดเคี้ยวและความสวยงาม
- ฟันซ้อน ฟันเรียงตัวไม่เป็นระเบียบ ซ้อนทับกันทั้งด้านนอกและด้านใน เกิดจากฟันแท้ขึ้นเบียด หรือฟันน้ำนมหลุดเร็ว/ช้าเกินไป ทำให้เศษอาหารสะสม ทำความสะอาดยาก เสี่ยงฟันผุ เหงือกอักเสบ มีกลิ่นปาก และยิ้มไม่สวย
- ฟันห่าง มีช่องว่างระหว่างฟันมากกว่า 0.5 มิลลิเมตร เกิดจากฟันหลุด, ฟันขึ้นไม่เต็ม หรือฟันยื่นร่วมด้วย ทำให้พูดไม่ชัด น้ำลายกระเด็นเวลาพูด เศษอาหารติดซอกฟันง่าย เสี่ยงเหงือกอักเสบ, หินปูน, ฟันผุ
- ฟันสบลึก ฟันหน้าบนคร่อมปิดฟันหน้าล่างมากเกินไปจนไม่เห็นฟันล่าง หากสบลึกมาก ปลายฟันหน้าล่างจะชนโคนฟันหน้าบนด้านใน ทำให้ฟันสึก เสียวฟัน สร้างความเสียหายต่อเหงือกและรากฟันหน้า อาจนำไปสู่การรักษารากฟัน หรืออาการเจ็บข้อต่อขากรรไกร
- ฟันสบเปิด ปลายฟันบนและล่างมีระยะห่างกันเมื่อกัดฟัน ทำให้กัดอาหารไม่ขาด ออกเสียงบางคำไม่ชัดเจน หากสบเปิดมากจะเห็นเป็นโพรงเมื่อยิ้ม ทำให้เสียบุคลิกภาพและความมั่นใจ
- ฟันกัดคร่อม ฟันบนกับฟันล่างขบกันไม่พอดี หรือขบแบบไขว้/สลับกัน ไม่สมดุล ทำให้เคี้ยวอาหารได้ไม่เต็มที่ ใช้ฟันหน้ากัดอาหารไม่ได้ปกติ ออกเสียงไม่ชัดเจน หากเป็นมากอาจมีใบหน้าเบี้ยวร่วมด้วย
- ฟันกัดเบี้ยว เกิดจากขากรรไกรเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ทำให้เส้นกึ่งกลางของฟันบนและฟันล่างไม่ตรงกัน หรือไม่สมดุล ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหารลดลง
การจัดฟันสามารถทำได้ตั้งแต่ตอนไหน?
การจัดฟันสามารถทำได้ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ โดยช่วงอายุแนะนำคือ 12-15 ปี ทั้งนี้ไม่มีข้อจำกัดด้านอายุที่แน่นอนตายตัว แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมและได้ผลดีที่สุดอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพฟันและปัญหาของแต่ละบุคคล ซึ่งแต่ละช่วงอายุก็มีรายละเอียดปัญหา และรูปแบบการรักษา ดังนี้
- การจัดฟันในวัยเด็ก ช่วงอายุ 6-12 ปี มักเป็นการจัดฟันแบบป้องกันหรือแก้ไขความผิดปกติของขากรรไกร ลดความรุนแรงของปัญหาในอนาคต หากผู้ปกครองสังเกตเห็นปัญหาฟันหรือขากรรไกรที่ผิดปกติ ควรพามาปรึกษาทันตแพทย์จัดฟันตั้งแต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่อายุประมาณ 6-7 ปี เพื่อประเมินและอาจทำการรักษาแบบจำกัดได้
- การจัดฟันในวัยรุ่น ช่วงอายุ 12-15 ปี เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการจัดฟันแบบเต็มรูปแบบ เพราะฟันแท้ขึ้นครบแล้ว รากฟันมีความสมบูรณ์ ขากรรไกรยังมีการเจริญเติบโตอยู่ และฟันเคลื่อนที่ได้ดี ทำให้ทันตแพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างครอบคลุม
- การจัดฟันในผู้ใหญ่ อายุ 18 ปีขึ้นไป สามารถจัดฟันได้ทุกวัย หากมีปัญหาสุขภาพช่องปากหรือต้องการปรับปรุงรอยยิ้ม ควรปรึกษาทันตแพทย์จัดฟันเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพฟัน และสุขภาพฟันโดยรวม
การเตรียมพร้อมก่อนจัดฟันครั้งแรกต้องทำอย่างไรบ้าง?
ก่อนจัดฟันให้ถามตัวเองอีกครั้งว่าพร้อมจัดฟันจริง ๆ หรือไม่ เพราะขั้นตอนการจัดฟันต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 2 ปี และต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง จึงต้องมีเวลามาพบทันตแพทย์ทุกเดือนหรือมาตามนัด และเมื่อตัดสินใจแล้วว่าต้องการจัดฟัน ควรพิจารณาเลือกทันตแพทย์เฉพาะทางจัดฟัน โดยเฉพาะทันตแพทย์ที่ได้รับการรับรองจากสมาคมทันตแพทย์จัดฟันแห่งประเทศไทย เพื่อให้ทันตแพทย์ช่วยพิจารณาวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสมในแต่ละบุคคล
เพราะปัญหาของฟันในแต่ละบุคคลจะแตกต่างกัน รูปแบบของการจัดฟันก็ด้วยเช่นกัน เช่น มีความจำเป็นจะต้องถอนฟันหรือไม่ ถ้าจำเป็นต้องถอน จะต้องถอนกี่ซี่ หรือบางคนไม่จำเป็นต้องถอน สามารถใช้เครื่องมืออื่นได้ และการจัดฟันนั้นจะต้องประเมินจากโครงสร้างฟันและใบหน้าของแต่ละคน จึงต้องอาศัยความเชี่ยวชาญจากทันตแพทย์ให้ได้มากที่สุด
ขั้นตอนการจัดฟันเป็นอย่างไร?


หลังจากตัดสินใจจัดฟันแน่นอนแล้ว ขั้นตอนในการจัดฟันจะคล้าย ๆ กัน แต่จะแตกต่างกันที่รูปแบบของเครื่องมือที่เลือกใช้ เช่น การจัดฟันแบบติดเครื่องมือ และ การจัดฟันแบบไม่ติดเครื่องมือ โดยขั้นตอนในการจัดฟันมีดังนี้
- ปรึกษากับทันตแพทย์จัดฟันโดยตรงว่าต้องการจัดฟันเพื่อแก้ปัญหาอะไรบ้าง พร้อมคำแนะนำเกี่ยวกับการจัดฟันในแต่ละวิธีการให้ทราบ เพื่อให้ตัดสินใจว่าแบบไหนตรงความต้องการ
- ตรวจวินิจฉัยปัญหาของฟัน ทันตแพทย์จะตรวจสุขภาพช่องปาก สุขภาพของเหงือกว่าสามารถจัดฟันได้หรือไม่ พร้อมทั้งซักประวัติสุขภาพ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
- วางแผนการจัดฟัน โดยแจ้งขั้นตอนของการจัดฟัน ระยะเวลาในการติดเครื่องมือเบื้องต้น รวมถึงค่าใช้จ่ายในการรักษา จากนั้นจะพิมพ์ฟันหรือสแกนฟันด้วยการเอกซเรย์ ตรวจรูปหน้า เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างกระดูกใบหน้า ขากรรไกรบน-ล่าง ลักษณะของฟัน ดูการสบฟัน และออกแบบการจัดฟัน การเคลื่อนฟัน เพื่อให้เข้ารูปสวยงาม และใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เคลียร์ช่องปากให้พร้อมสำหรับการจัดฟัน โดยการขูดหินปูน ขัดฟัน หากพบฟันผุ จะต้องทำการรักษาโดยการอุดฟันหรือรักษารากฟันก่อนจัดฟัน หากพบการอักเสบใด ๆ จะต้องหาสาเหตุและรักษาก่อนเช่นกัน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง
- เริ่มต้นการจัดฟัน หากจัดฟันแบบโลหะ จะนัดผู้จัดฟันมาปรับเครื่องมือทุก ๆ 4 สัปดาห์ หรือจัดฟันแบบเดมอน ผู้จัดฟันจะต้องมาปรับเครื่องมือทุก 2-3 เดือนครั้ง เป็นต้น สำหรับการจัดฟันแบบใส Invisalign ผู้จัดฟันจะเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันเพื่อรับอุปกรณ์จัดฟันแบบใส Invisalign ชุดแรก รับฟังคำอธิบายวิธีการใส่และการดูแลเครื่องมือ จากนั้นทางโรงพยาบาลจะเตรียมเครื่องมือในชุดอื่นให้ในการพบทันตแพทย์จัดฟันในครั้งต่อไป ผู้จัดฟันควรมาให้ตรงตามนัด เพื่อให้แผนการรักษาไม่คลาดเคลื่อน
- นัดถอดเครื่องมือ เมื่อแผนการจัดฟันเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ทันตแพทย์จัดฟันจะนัดถอดเครื่องมือจัดฟัน และจะให้ใส่รีเทนเนอร์แทน โดยผู้จัดฟันจะต้องใส่ต่อเนื่องอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ฟันคงอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องสวยงามตลอด ทั้งนี้อาจจะมีการนัดติดตามการใส่รีเทนเนอร์ทุก ๆ 3 - 6 เดือน และทุก ๆ 1 ปี
การจัดฟันมีข้อดีและข้อจำกัดอย่างไรบ้าง?
การจัดฟันไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามเท่านั้น แต่ยังมอบประโยชน์มากมายทั้งต่อสุขภาพช่องปากโดยรวม และคุณภาพชีวิตในหลาย ๆ ด้าน นอกจากจะมีข้อดีแล้ว ก็ยังมีข้อจำกัดในบางกรณี ดังนี้
ข้อดีของการจัดฟัน- การเรียงตัวของฟันและการสบฟันดีขึ้น ทำให้การบดเคี้ยวอาหารมีประสิทธิภาพสูงสุด
- ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาเหงือกและฟันผุ เพราะฟันที่เรียงตัวเป็นระเบียบจะทำความสะอาดได้ง่ายกว่า
- เคี้ยวอาหารได้ละเอียดขึ้น ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี สุขภาพทางเดินอาหารดีขึ้น
- ลดกลิ่นปาก ฟันที่เรียงตัวเหมาะสมช่วยลดการสะสมของเศษอาหารและแบคทีเรีย
- พูดชัดเจนขึ้น การจัดฟันสามารถช่วยแก้ไขปัญหาการออกเสียงที่เกิดจากความผิดปกติของฟันได้
- ยิ้มสวย การจัดฟันช่วยปรับปรุงรูปลักษณ์ของรอยยิ้ม มีความมั่นใจและมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น
ข้อจำกัดของการจัดฟัน
- การจัดฟันใช้เวลานาน โดยเฉลี่ยประมาณ 1-3 ปี หรือนานกว่านั้น
- หลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันแล้ว ยังต้องใส่รีเทนเนอร์ เพื่อคงสภาพฟันไว้
- อาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ เช่น ปวดตึงฟัน หรือระคายเคืองกระพุ้งแก้ม/ลิ้นจากเครื่องมือ
- อาจมีความเสี่ยงบางอย่างที่เกิดขึ้นได้ เช่น รากฟันกร่อน/สั้นลง เหงือกร่น ในบางกรณี ผลลัพธ์อาจไม่สมบูรณ์แบบ 100% ขึ้นอยู่กับสภาพฟันเดิม
หลังจัดฟัน ทำไมถึงต้องใส่รีเทนเนอร์ (Retainer)
รีเทนเนอร์ คือเครื่องมือสำคัญที่ทันตแพทย์จัดฟันจะให้ใช้หลังจากการจัดฟันเสร็จสิ้น เพื่อคงสภาพฟันที่ได้รับการจัดเรียงใหม่ให้อยู่ในตำแหน่งที่สวยงาม และเป็นระเบียบตามที่ต้องการ
หน้าที่หลักของรีเทนเนอร์คือ ป้องกันไม่ให้ฟันเคลื่อนที่กลับไปยังตำแหน่งเดิมก่อนจัดฟัน หรือที่เรียกว่า "ฟันล้ม" หรือ "ฟันเคลื่อนตัวคืน" ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่มีการคงสภาพฟันไว้
ทันตแพทย์จัดฟันจะแนะนำให้คุณใส่รีเทนเนอร์อย่างต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่งหลังถอดเครื่องมือจัดฟัน และในหลายกรณีอาจแนะนำให้ใส่ไปตลอดชีวิต เพื่อรักษารอยยิ้มที่คุณได้มาด้วยความพยายามให้คงอยู่ได้นานที่สุด
จัดฟันครั้งแรก เลือกที่ไหนดี?


หากกำลังเลือกว่าจะจัดฟันที่ไหนดี ควรเลือกจากความเชี่ยวชาญของทันตแพทย์ และสถานที่ที่จะรับบริการ เพราะทั้งสองสิ่งนี้มีความสำคัญมากต่อผลการจัดฟัน โดยที่ศูนย์ทันตกรรม โรงพยาบาลนครธน มีวิธีการจัดฟันให้เลือกหลายแบบ ทั้งการจัดฟันใส Invisalign การจัดฟันแบบเดมอน และการจัดฟันแบบโลหะ พร้อมด้วยทันตแพทย์เฉพาะทางจัดฟันโดยเฉพาะ ที่ได้รับการรับรองความเชี่ยวชาญจากทั้งทันตแพทยสภา และสมาคมทันตแพทย์จัดฟันแห่งประเทศไทย
คุณสามารถเข้ามารับคำปรึกษาการจัดฟันได้อย่างเป็นกันเองกับแพทย์ หรือการรักษาอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การทำรากฟันเทียม พร้อมตอบทุกคำถาม ทุกข้อสงสัย เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมในแต่ละบุคคลอย่างดีที่สุด ให้คุณสามารถเชื่อมั่น และเชื่อใจในทันตแพทย์ของโรงพยาบาลได้
จัดฟันที่นครธน ลงทุนเพื่อรอยยิ้มสวยและสุขภาพที่ดี
การจัดฟันคือการลงทุนที่คุ้มค่า เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดีและรอยยิ้มที่สวยงามในระยะยาว การปรึกษาทันตแพทย์จัดฟันจะช่วยให้คุณเข้าใจถึงปัญหาเฉพาะ และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
ที่ศูนย์ทันตกรรม โรงพยาบาลนครธน เราพร้อมให้คำปรึกษาด้านการจัดฟันโดยทันตแพทย์เฉพาะทางด้านการจัดฟันโดยเฉพาะ เพื่อแก้ไขการเรียงตัวของฟันให้มีการสบฟันที่ดี และสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเครื่องมือที่มีความทันสมัย ได้มาตรฐาน เครื่องมือทุกชนิดผ่านขั้นตอนการทำให้ปราศจากเชื้อ และควบคุมการติดเชื้ออย่างเข้มงวดตามมาตรฐานสากล คุณจึงมั่นใจได้ว่าการรักษาฟันที่โรงพยาบาลของเรา จะได้รับความปลอดภัยและคุณภาพการรักษา เพื่อให้คุณมีรอยยิ้มได้อย่างมั่นใจ
ช่องทางติดต่อโรงพยาบาลนครธน:
- - Website : https://www.nakornthon.com
- - Facebook : Nakornthon Hospital
- - Line : @nakornthon
- - Tel: 02-450-9999 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
ปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพแบบออนไลน์
ไม่เสียค่าใช้จ่าย
บทความทางการแพทย์ศูนย์ทันตกรรม