ปวดหลังเรื้อรัง ไม่หาย ตรวจวินิจฉัยด้วย MRI ได้ผลแม่นยำ

ศูนย์ : ศูนย์กระดูกสันหลัง, ศูนย์รังสีวินิจฉัย

บทความโดย :

ปวดหลังเรื้อรัง ไม่หาย ตรวจวินิจฉัยด้วย MRI ได้ผลแม่นยำ

สำหรับคนที่มีอาการปวดหลังเรื้อรัง ไม่หายสักที แม้ว่าจะเปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนพฤติกรรมการนั่ง การยกของหนัก ๆ หรือแม้แต่กินยาแก้ปวดแล้วก็ตาม ก็ยังไม่มีวี่แววว่าอาการจะดีขึ้น ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุอย่างละเอียด ด้วยการทำ MRI หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการตรวจวินิจฉัยที่ปลอดภัย ไม่เจ็บ นอกจากจะช่วยวินิจฉัยอาการปวดหลังได้อย่างตรงจุดแล้ว ยังทราบผลได้ในเวลาอันรวดเร็วอีกด้วย


การตรวจด้วยเครื่อง MRI คืออะไร?

การตรวจด้วยเครื่อง MRI (Magnetic Resonance Imaging) หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คือ เทคนิคการสร้างภาพที่ใช้รังสีวิทยาเพื่อการตรวจร่างกาย โดยเครื่องที่ใช้ตรวจมีการปล่อยสนามแม่เหล็กและคลื่นวิทยุความเข้มสูงออกมา ทำให้เห็นภาพเหมือนจริงของอวัยวะภายในต่างๆ ของร่างกาย มีรายละเอียดและความคมชัดสูง โดยเฉพาะสมอง หัวใจ กระดูก กล้ามเนื้อ และส่วนที่เป็นมะเร็ง ทำให้แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยความผิดปกติในร่างกายได้อย่างแม่นยำ ซึ่งการตรวจด้วยเครื่อง MRI นี้ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดใดๆ แก่ร่างกาย และไม่มีอันตรายจากรังสีตกค้าง


การตรวจกระดูกสันหลังด้วยเครื่อง MRI

เครื่อง MRI สามารถใช้ตรวจโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลังได้ค่อนข้างหลากหลาย เช่น โรคกระดูกพรุน โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท รวมถึงอาการบาดเจ็บต่าง ๆ จากการเล่นกีฬา โดยแพทย์จะทำการซักประวัติและสั่งตรวจด้วยเครื่อง MRI เพิ่มเติม ซึ่งช่วยในการตรวจวินิจฉัยอาการปวดหลังที่ต้นเหตุได้


อาการปวดแบบไหนที่ควรตรวจ MRI กระดูกสันหลัง

  • ปวดคอ รุนแรง
  • ปวดหลังเรื้อรังนานหลายสัปดาห์
  • ปวดหลังร้าวลงขา ชาลงแขนหรือลำตัว
  • ขาลีบ แขนหรือขาอ่อนแรง
  • แขนขากระตุก ควบคุมไม่ได้
  • สมรรถภาพทางเพศลดลง
  • ควบคุมปัสสาวะ อุจจาระไม่ได้

ข้อดีของการตรวจกระดูกสันหลังด้วย MRI

การตรวจด้วยเครื่อง MRI สามารถตรวจพบความผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว สามารถบอกขอบเขตของโรคได้ทำให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาโรคต่อไปได้ ให้ภาพคมชัด ละเอียด แยกความแตกต่างระหว่างเนื้อเยื่อได้อย่างชัดเจน ทำให้มีความถูกต้องแม่นยำในการวินิจฉัยโรคมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องเสี่ยงกับการฉีดสารทึบรังสี ที่สำคัญการตรวจด้วยเครื่อง MRI ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อเนื้อเยื่อเพราะไม่ใช้คลื่นรังสี


ก่อนตรวจด้วยเครื่อง MRI ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

การตรวจด้วยเครื่อง MRI ผู้ถูกตรวจจะไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ และไม่มีอันตรายจากรังสีตกค้าง ในด้านการเตรียมตัวนั้นก็ไม่ยุ่งยากซึ่งการเตรียมตัวก่อนตรวจด้วยเครื่อง MRI มีดังนี้

  • ควรงดใช้เครื่องแต่งหน้าบางชนิดก่อนตรวจ อาทิ การทาอายแชโดว์ และมาสคาร่า เพราะอาจมีส่วนผสมของโลหะทำให้เกิดเป็นสิ่งแปลกปลอมในภาพได้
  • ต้องนำโลหะต่างๆ ออกจากตัว เช่น ต่างหู เครื่องประดับ เป็นต้น
  • ในผู้ที่มีการจัดฟัน การทำ MRI ตรวจในช่วงบริเวณ สมองถึงกระดูกคอควรต้องถอดเอาเหล็กดัดฟันออกก่อน เพราะจะมีผลต่อความชัดของภาพ
  • ก่อนเข้าตรวจให้เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ในห้องตรวจจะเย็นมาก
  • ระหว่างการตรวจจะต้องไม่ขยับ หรือเคลื่อนไหวส่วนที่ตรวจ เพื่อให้ได้ภาพชัดเจน
  • ในกรณีการงดน้ำหรืออาหาร ขึ้นอยู่กับส่วนที่ตรวจ หากคนไข้มีความพร้อมและไม่มีภาวะกลัวที่แคบ ไม่จำเป็นต้องงดน้ำและอาหารก่อนตรวจ
  • ในกรณีสำหรับผู้ป่วยบางรายที่ไม่ให้ความร่วมมือ หรือผู้ที่กลัวการอยู่ในที่แคบๆ ไม่สามารถนอนในอุโมงค์ตรวจได้ จำเป็นต้องได้รับยานอนหลับหรือยาสลบ ต้องงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง ก่อนตรวจ
  • ระยะเวลาในการตรวจขึ้นอยู่กับอวัยวะที่จะตรวจเฉลี่ยประมาณ 40 นาที - 1 ชม.

ขั้นตอนการเข้ารับการตรวจ MRI กระดูกสันหลัง

ผู้รับการตรวจนอนสบายๆ นิ่งๆ บนเตียงตรวจ โดยระยะเวลาในการตรวจขึ้นอยู่กับอวัยวะที่จะตรวจเฉลี่ยประมาณ 40 นาที - 1 ชม.


การปฏิบัติหลังการตรวจ MRI กระดูกสันหลัง

ผู้ป่วยควรสังเกตอาการผิดปกติของตนเอง เช่น มีผื่นลมพิษตามตัวหรือไม่ มีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก หรือไม่ หากรู้สึกถึงความผิดปกติควรรีบบอกเจ้าหน้าที่ หากไม่มีภาวะผิดปกติ ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหาร และทำกิจวัตรได้ตามปกติ

หากท่านมีอาการปวดหลังเป็นระยะเวลานานผิดปกติมีอาการชา และอาการปวดร้าวลงขา ขอแนะนำตรวจ MRI เพื่อให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องแม่นยำ



ปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพแบบออนไลน์
ไม่เสียค่าใช้จ่าย




Share :

แพ็กเกจ/โปรโมชั่น

เมื่อคลิก “อนุญาตคุกกี้ทั้งหมด” หมายความว่าผู้ใช้งานยอมรับที่จะเปิดการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพ เพื่อเปิดใช้คุณสมบัติของโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการทำการตลาดและการโฆษณา รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลการใช้งานกับพาร์ทเนอร์โซเชียลมีเดีย