ล้างจมูกในเด็กอย่างไรให้ปลอดภัย เหมาะสมกับช่วงวัย

ศูนย์ : ศูนย์สุขภาพเด็ก

บทความโดย :

ล้างจมูกในเด็กอย่างไรให้ปลอดภัย เหมาะสมกับช่วงวัย

ด้วยปัจจุบันโรคหวัด โรคภูมิแพ้ และไซนัสอักเสบ เป็นปัญหาสำหรับเด็กทำให้มีน้ำมูก เกิดการอุดกั้นในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งการสั่งน้ำมูกอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จึงมีความจำเป็นต้องล้างทำความสะอาดจมูก และดูดเอาน้ำมูกออกร่วมด้วย เพื่อไม่ให้มีการคั่งค้างของน้ำมูกในโพรงจมูก


การล้างจมูกมีประโยชน์อย่างไร

  1. ช่วยล้างน้ำมูกที่เหนียวข้นที่ไม่สามารถระบายออกเองได้ทำให้โพรงจมูกสะอาด
  2. อาการหวัดเรื้อรังดีขึ้น
  3. การระบายหนองจากไซนัสดีขึ้น
  4. ป้องกันการลุกลามของเชื้อโรคจากจมูกและไซนัสไปสู่ปอด
  5. ช่วยลดจำนวนเชื้อโรคของเสียสารก่อภูมิแพ้ และสารที่เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายที่มีต่อสารก่อภูมิแพ้
  6. ให้ความชุ่มชื้นแก่เยื่อบุจมูก
  7. บรรเทาอาการคัดแน่นจมูก ระคายเคืองในจมูก
  8. การล้างจมูกก่อนใช้ยาพ่นจมูกทำให้ยาพ่นจมูกมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อุปกรณ์ที่ใช้ในการล้างจมูก

  1. น้ำเกลือความเข้มข้น 0.9% แนะนำให้ใช้ขวดละ 100 ซีซี (น้ำเกลือที่เหลือให้เททิ้ง ห้ามนำกลับมาใช้ใหม่ หรือเทกลับเข้าขวดน้ำเกลือเดิม)
  2. ถ้วยสะอาดสำหรับใส่น้ำเกลือ ภาชนะรองน้ำมูกและเสมหะ กระดาษทิชชู

อุปกรณ์สำหรับเด็กเล็ก (1-5 ปี) อุปกรณ์สำหรับเด็กโต (6 ปีขึ้นไป)
กระบอกฉีดยาพลาสติก
  • 1 ปีแรก ใช้ขนาด 1 ซีซี (ไม่ใส่หัวเข็ม) หรือขวดยาหยอดตา
  • เด็กอายุ 1-5 ปี ใช้ขนาด 2-5 ซีซี (ไม่ใส่หัวเข็ม)
กระบอกฉีดยาพลาสติกขนาด 10-20 ซีซี (ไม่ใส่หัวเข็ม)
ลูกยางแดง สำหรับดูดน้ำมูกและเสมหะ
  • 1 ปีแรก ใช้เบอร์ 0-2
  • 1-5 ปี ใช้เบอร์ 2-4

วิธีล้างจมูก

วิธีล้างจมูก

วิธีล้างจมูกในเด็กเล็ก (1-5 ปี) วิธีล้างจมูกในเด็กโต (6 ปีขึ้นไป)
  1. ล้างมือผู้ที่จะทำการล้างจมูกให้สะอาด
  2. เทน้ำเกลือใส่ขวดยาหยอดตาหรือใช้กระบอกฉีดยาดูดน้ำเกลือจนเต็ม
  3. ให้ใช้ผ้าห่อตัวเด็กในกรณีที่เด็กไม่ให้ความร่วมมือและดิ้นมาก การห่อตัวเด็กจะช่วยให้ผู้ล้างจมูกสามารถล้างจมูกได้สะดวก นุ่มนวล และไม่เกิดการบาดเจ็บ
  4. ให้เด็กนอนในท่าศีรษะสูงพอสมควร เพื่อป้องกันการสำลัก
  5. จับหน้าให้นิ่ง ค่อยๆ หยดน้ำเกลือครั้งละ 2-3 หยด หรือค่อยๆ สอดปลายกระบอกฉีดยาเข้าไปในรูจมูกข้างที่จะล้าง โดยให้วางปลายกระบอกฉีดยาชิดด้านบนของรูจมูก ค่อยๆ ฉีดน้ำเกลือครั้งละประมาณ 0.5 ซีซี
  6. ใช้ลูกยางแดงดูดน้ำมูกในจมูกออก โดยให้บีบลูกยางแดงจนสุดเพื่อไล่ลมออก แล้วค่อยๆ สอดเข้าไปในรูจมูกลึกประมาณ 1-1.5 ซม. ค่อยๆ ปล่อยมือที่บีบออกช้าๆ เพื่อดูดน้ำมูกเข้ามาในลูกยางแดง และบีบน้ำมูกทิ้งในกระดาษทิชชู
  7. ทำซ้ำหลายๆ ครั้งในรูจมูกแต่ละข้างจนไม่มีน้ำมูก
  8. ในกรณีที่รู้สึกว่ามีเสมหะในลำคอ ให้สอดลูกยางแดงเข้าทางปากเพื่อดูดเสมหะในลำคอออก ถ้าต้องการให้เด็กไอเอาเสมหะออก ให้สอดลูกยางแดงลึกถึงประมาณโคนลิ้นเพื่อกระตุ้นให้ไอ และทำการดูดเสมหะเหมือนที่กล่าวมาข้างต้น (ระหว่างดูดเสมหะ ให้จับหน้าเด็กหันไปด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อป้องกันการสำลัก)
ในกรณีเด็กเล็กที่ให้ความร่วมมือและสั่งน้ำมูกได้
  1. ให้เด็กนั่งหรือยืนแหงนหน้าเล็กน้อย ค่อยๆ สอดปลายกระบอกฉีดยาเหมือนที่กล่าวมาข้างต้น
  2. ค่อยๆ ฉีดน้ำเกลือครั้งละประมาณ 0.5-1 ซีซี หรือเท่าที่เด็กทนได้ พร้อมกับสั่งให้เด็กกลืนน้ำเกลือที่ไหลลงคอเป็นระยะๆ ระหว่างฉีดน้ำเกลือหรือให้บ้วนทิ้ง
  3. สั่งน้ำมูกพร้อมๆ กันทั้งสองข้าง (ไม่ต้องอุดรูจมูกอีกข้าง)
  4. ทำซ้ำหลายๆ ครั้งในรูจมูกแต่ละข้างจนไม่มีน้ำมูก
วิธีที่ 1
  1. แหงนหน้าเล็กน้อย
  2. สอดปลายกระบอกฉีดยาเข้าไปในรูจมูกข้างที่จะล้าง โดยวางปลายกระบอกฉีดยาชิดรูจมูกด้านบน
  3. กลั้นหายใจหรือหายใจทางปาก
  4. ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูกครั้งละประมาณ 5 ซีซี หรือปริมาณมากที่สุดเท่าที่เด็กจะทนได้ หลังจากนั้นให้สั่งน้ำมูกพร้อมๆ กันทั้งสองข้าง (ไม่ต้องอุดรูจมูกอีกข้าง) ไม่ควรกลั้นหายใจเพื่อกักน้ำเกลือให้ค้างอยู่ในจมูกนาน บ้วนน้ำเกลือและเสมหะในคอออก
วิธีที่ 2
  1. ก้มหน้าเล็กน้อยหรืออยู่ในท่าศีรษะตรง
  2. สอดกระบอกฉีดยาเหมือนวิธีที่ 1
  3. หายใจทางปากหรือกลั้นหายใจ
  4. ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในรูจมูก จนน้ำเกลือและน้ำมูกไหลออกทางปากหรือไหลย้อนออกทางจมูกอีกข้าง
  5. สั่งน้ำมูกพร้อมๆ กันทั้งสองข้าง (ไม่ต้องอุดรูจมูกอีกข้าง) บ้วนน้ำเกลือและน้ำมูกส่วนที่ไหลลงคอทิ้งบ้วนเสมหะในคอออก
  6. ทำซ้ำหลายๆ ครั้งในแต่ละข้างจนไม่มีน้ำมูกออกมา (วิธีนี้อาจใช้น้ำเกลือล้างจมูกจำนวนมาก)

วิธีทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูก

ให้ล้างอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูกให้สะอาดหลังการใช้งานทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเติบโตและเพิ่มปริมาณโดย

  • กระบอกฉีดยาและภาชนะที่ใส่น้ำเกลือใ ห้ล้างน้ำสบู่หรือน้ำยาล้างจาน ล้างด้วยน้ำประปาจนหมดน้ำสบู่ ผึ่งให้แห้ง
  • ล้างลูกยางแดงด้วยน้ำสบู่ทั้งภายนอกและภายใน ล้างตามด้วยน้ำประปาจนสะอาด บีบน้ำที่ค้างในลูกยางออกจนหมด วางคว่ำในภาชนะที่สะอาด โดยคว่ำปลายลูกยางแดงลง ควรนำไปต้มในน้ำเดือดวันละครั้ง โดยดูดน้ำเดือดเข้ามาในลูกยางแดง ต้มประมาณ 5 นาที เสร็จแล้วบีบน้ำที่ค้างอยู่ในลูกยางแดงออกจนหมด วางคว่ำในภาชนะที่สะอาด โดยคว่ำปลายลูกยางแดงลง

วิธีทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูก

ให้ล้างอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูกให้สะอาดหลังการใช้งานทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเติบโตและเพิ่มปริมาณโดย

  • กระบอกฉีดยาและภาชนะที่ใส่น้ำเกลือให้ล้างน้ำสบู่ หรือน้ำยาล้างจานล้างด้วยน้ำประปาจนหมดน้ำสบู่ ผึ่งให้แห้ง
  • ล้างลูกยางแดงด้วยน้ำสบู่ทั้งภายนอกและภายใน ล้างตามด้วยน้ำประปาจนสะอาด บีบน้ำที่ค้างในลูกยางออกจนหมด วางคว่ำในภาชนะที่สะอาด โดยคว่ำปลายลูกยางแดงลง ควรนำไปต้มในน้ำเดือดวันละครั้ง โดยดูดน้ำเดือดเข้ามาในลูกยางแดง ต้มประมาณ 5 นาที เสร็จแล้วบีบน้ำที่ค้างอยู่ในลูกยางแดงออกจนหมด วางคว่ำในภาชนะที่สะอาด โดยคว่ำปลายลูกยางแดงลง

ควรล้างจมูกบ่อยแค่ไหน

อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ช่วงตื่นนอนตอนเช้าและก่อนเข้านอน หรือเมื่อรู้สึกว่ามีน้ำมูกมากหรือแน่นจมูก หรือก่อนใช้ยาพ่นจมูกแนะนำให้ทำในช่วงท้องว่างเพราะจะได้ไม่เกิดการอาเจียน


การล้างจมูกมีอันตรายหรือไม่

ถ้าทำได้ถูกต้องและในเวลาที่เหมาะสมไม่น่าจะมีอันตรายอาจมีอันตรายเกิดขึ้นได้ เช่น การสำลัก การนำเชื้อเข้าไปในโพรงไซนัส ปัญหาการสำลักจะไม่เกิดขึ้น ถ้าได้เรียนรู้การล้างจมูกได้ถูกต้องและควรล้างจมูกก่อนเวลารับประทานอาหาร หรือรับประทานอาหารแล้วอย่างน้อย 2 ชม. ขึ้นไป เพื่อป้องกันการอาเจียนหรือสำลัก


ข้อควรระวัง

น้ำเกลือและอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูกต้องสะอาด โดยเฉพาะน้ำเกลือไม่ควรใช้ขวดใหญ่ เพราะการเปิดทิ้งไว้และใช้ต่อเนื่องนานกว่าจะหมด จะทำให้มีเชื้อโรคสะสมอยู่ได้ โดยทั่วไปควรใช้ขวดละ 100 ซีซี เพื่อให้หมดเร็วจะได้ไม่เกิดการติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้ควรล้างจมูกเมื่อมีน้ำมูกเหนียวข้นจำนวนมาก (ถ้าน้ำมูกใสและมีจำนวนเล็กน้อยให้สั่งออกมา) หลังฉีดน้ำเกลือเข้าไปในโพรงจมูก ให้สั่งน้ำมูกออกมาทันที ไม่ควรกลั้นหายใจเพื่อกักน้ำเกลือให้ค้างอยู่ในจมูกนาน เพราะน้ำเกลืออาจจะไหลย้อนไปในไซนัส และการส่งน้ำมูกให้สั่งเบาๆ ไม่ต้องอุดรูจมูกอีกข้าง เพราะอาจทำให้แก้วหูทะลุได้


Share :

แพ็กเกจ/โปรโมชั่น

เมื่อคลิก “อนุญาตคุกกี้ทั้งหมด” หมายความว่าผู้ใช้งานยอมรับที่จะเปิดการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพ เพื่อเปิดใช้คุณสมบัติของโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการทำการตลาดและการโฆษณา รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลการใช้งานกับพาร์ทเนอร์โซเชียลมีเดีย