ข้อเข่าเสื่อม รู้เท่าทันโรคและวิธีการรักษาก่อนจะสายเกินแก้

ศูนย์ : ศูนย์กระดูกและข้อ

บทความโดย : นพ. นิธิวุฒิ ปิ่นสิรานนท์

ข้อเข่าเสื่อม

อาการปวดเข่า เป็นอาการที่พบได้บ่อย และควรให้ความสำคัญ เพราะถ้าหากได้รับการวินิจฉัยล่าช้า ผลที่ตามมา คือ การเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม กระดูกเสื่อม ผู้ที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อมมาก ๆ จะมีอาการเจ็บหรือปวดเข่า ข้อเข่าผิดรูป ข้อฝืด หรือข้อติด เดินได้ไม่ปกติ ไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิม ส่งผลให้เกิดความทุกข์ทรมานทั้งด้านร่างกายและจิตใจ นอกจากนี้ผู้ที่มีปัญหาข้อเข่าเสื่อมควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม โดยปัจจุบันมีวิธีการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียม ซึ่งเป็นวิธีสากลที่ได้รับการยอมรับว่าผลการรักษาดีที่สุด ทำให้หายปวดเข่า ข้อเข่ากลับมาเคลื่อนไหวได้ดีดังเดิม มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) คืออะไร?


โรคข้อเข่าเสื่อม โรคข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าเสื่อม หรือ Knee Osteoarthritis คือ ภาวะความเสื่อมของกระดูกอ่อนผิวข้อ ทั้งทางด้านรูปร่าง โครงสร้างการทำงานของกระดูกข้อต่อและกระดูกบริเวณใกล้ข้อ ทำให้กระดูกอ่อนที่ทำหน้าที่เป็นเบาะรองรับและช่วยให้การเคลื่อนไหวของข้อเข่านั้นถูกทำลายลง เมื่อกระดูกอ่อนสึกกร่อนหรือหายไป กระดูกปลายข้อเข่าจะมาเสียดสีกันโดยตรงขณะเคลื่อนไหว ภาวะข้อเข่าเสื่อม อาการเจ็บปวด บวม ตึง และเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน อาจมีการสร้างกระดูกงอกขึ้นภายในข้อ ทำให้การเคลื่อนไหวติดขัดมากขึ้น และในที่สุดข้อเข่าอาจผิดรูปได้ โดยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมและอาจมีความเสื่อมรุนแรงขึ้นตามลำดับ

> กลับสารบัญ


รู้ได้อย่างไร อาการปวดเข่าแบบไหน ที่แสดงว่าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม

ข้อเข่าเสื่อมเป็นภาวะที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ มักพบบ่อยในผู้ที่อายุเกิน 40 ปี พบมากในผู้หญิงและผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก มักเป็นทั้ง 2 ข้าง เมื่อข้อเข่าข้างหนึ่งเริ่มเสื่อมแล้ว จะมีข้อเข่าอีกข้างเสื่อมอีกใน 11 ปีต่อมา

  • อาการข้อเข่าเสื่อมระยะแรก เริ่มปวดเข่าเวลามีการเคลื่อนไหว เช่น เดิน ขึ้นลงบันได หรือนั่งพับเข่า อาการจะดีขึ้นเมื่อหยุดพักการใช้ข้อ ร่วมกับมีอาการข้อฝืดขัด โดยเฉพาะเมื่อหยุดการเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน เมื่อขยับข้อจะรู้สึกถึงการเสียดสีของกระดูกหรือมีเสียงดังในข้อ
  • เมื่อมีภาวะข้อเข่าเสื่อมรุนแรง อาการข้อเข่าเสื่อมจะปวดเข่าจะรุนแรงมากขึ้น บางครั้งปวดเวลากลางคืน อาจคลำส่วนกระดูกงอกได้บริเวณด้านข้างข้อ เมื่อเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาเต็มที่จะมีอาการปวดหรือเสียวบริเวณกระดูกสะบ้า หากมีการอักเสบจะมีข้อบวม ร้อน และตรวจพบน้ำในช่องข้อ ถ้ามีข้อเสื่อมมานานจะพบว่า เหยียดหรืองอข้อเข่าได้ไม่ค่อยสุด กล้ามเนื้อต้นขาลีบ ข้อเข่าโก่ง หลวม หรือบิดเบี้ยวผิดรูป ทำให้เดินและใช้ชีวิตประจำวันลำบาก และมีอาการปวดเวลาเดินหรือขยับ

> กลับสารบัญ


สาเหตุโรคข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าเสื่อม เกิดจากความเสื่อมของกระดูกอ่อนผิวข้อ ทั้งทางด้านรูปร่าง โครงสร้าง การทำงานของกระดูกข้อต่อและกระดูกบริเวณใกล้ข้อ ข้อเสื่อม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมและอาจมีความเสื่อมรุนแรงขึ้นตามลำดับ โดยแบ่งสาเหตุได้ 2 แบบ ดังนี้

  1. ความเสื่อมแบบปฐมภูมิ หรือไม่ทราบสาเหตุ เป็นภาวะที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของผิวกระดูกอ่อนตามวัย ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความเสื่อมของข้อเข่า ได้แก่ ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป พบในเพศหญิงพบมากกว่าเพศชาย มีน้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน การใช้งาน ท่าทาง กิจกรรมที่มีแรงกดต่อข้อเข่ามาก เช่น การนั่งคุกเข่า พับเพียบ ขัดสมาธิ ขึ้นลงบันไดบ่อย ๆ เป็นต้น ความบกพร่องของส่วนประกอบของข้อ เช่น ข้อเข่าหลวม กล้ามเนื้อต้นขาอ่อนแรง และกรรมพันธุ์
  2. ความเสื่อมแบบทุติยภูมิ เป็นความเสื่อมที่ทราบสาเหตุ เช่น เคยประสบอุบัติเหตุมีการบาดเจ็บที่ข้อ เส้นเอ็น การบาดเจ็บเรื้อรังที่บริเวณข้อเข่าจากการทำงานหรือการเล่นกีฬา โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เก๊าท์ ข้ออักเสบติดเชื้อ โรคของต่อมไร้ท่อ เช่น อ้วน เป็นต้น

> กลับสารบัญ


ปรึกษาแพทย์ออนไลน์

การวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าเสื่อมตรวจพบได้จากการเอกซเรย์ข้อเข่า โดยฟิล์มที่ปรากฏจะมองเห็นช่องว่างแคบ ๆ ระหว่างข้อเข่าด้านบนและข้อเข่าด้านล่าง แสดงให้เห็นว่ามีการสึกหรอของกระดูกอ่อน นอกจากนี้แพทย์จะซักประวัติอาการปวดเข่า ประวัติคนในครอบครัว ประวัติการบาดเจ็บข้อเข่า ว่ามี เอ็นไขว้หน้าขาด หรือ เส้นเอ็นอักเสบ ไหม และวัดความสามารถในการงอและเหยียดข้อเข่า

> กลับสารบัญ


การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม


การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
  1. ข้อเข่าเสื่อม รักษาโดยไม่ใช้ยา ช่วยบรรเทาอาการปวดและช่วยให้เข่าเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ได้แก่ การประคับประคองด้วยการลดแรงกดที่ข้อเข่า ร่วมกับการทำให้กล้ามเนื้อต้นขาแข็งแรงขึ้น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ข้อเข้า การควบคุมน้ำหนักตัว และการบริหารกล้ามเนื้อและออกกำลังเพื่อสุขภาพ ซึ่งต้องได้รับคำแนะนำอย่างถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  2. ข้อเข่าเสื่อม รักษาโดยการใช้ยา อยู่ภายใต้แผนการรักษาของแพทย์ เช่น ยาทาเฉพาะที่ ประเภทยาแก้ปวดและต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ และ เจลพริก (Capsaicin) ใช้ทานวดซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดความร้อนเฉพาะที่ ยาแก้ปวด พาราเซตามอล ยาต้านการอักเสบไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ในรูปของยารับประทานและยาฉีด ซึ่งช่วยลดอาการปวดและอักเสบได้ดี และยาคลายกล้ามเนื้อ เป็นต้น
  3. ข้อเข่าเสื่อม รักษาโดยวิธีการผ่าตัด
    • การส่องกล้องข้อเข่า เพื่อตรวจสภาพและล้างภายในข้อ เป็นการรักษาข้อเข่าเสื่อมที่น่าจะได้ผลดีในกลุ่มที่มีเศษขรุขระเล็กน้อยที่เป็นสาเหตุของอาการปวดขัดในข้อ ใช้รักษาภาวะเข่าเสื่อมในระยะแรกเท่านั้น ในกรณีที่ข้อเสื่อมมากหรือรุนแรง แนะนำให้เปลี่ยนผิวข้อแทน
    • การผ่าตัดปรับแนวข้อ ในกรณีที่มีการผิดรูปของข้อ โดยแก้ไขแนวแรงให้กระจายไปยังจุดที่ผิวข้อยังดีอยู่
    • การผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียม (Total Knee Arthroplasty: TKA) เป็นวิธีการรักษาภาวะข้อเข่าเสื่อมในระยะปานกลางถึงระยะรุนแรงเป็นที่ยอมรับว่าเป็นวิธีสากลที่ให้ผลการรักษาดีที่สุด นั่นคือ ทำให้หายปวดเข่า ข้อเข่ากลับมาเคลื่อนไหวได้ดีดังเดิม

> กลับสารบัญ


เทคโนโลยีการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียม รักษาโรคข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าเสื่อม วิธีรักษาปัจจุบันด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียม (ผ่าตัดหัวเข่า) เป็นที่นิยมมาก เพราะเห็นผลการรักษาไว และทำให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติโดยไม่เจ็บเข่าทรมานอีก ซึ่งผิวข้อเข่าเทียมที่เปลี่ยนนั้นทำมาจากสเตนเลสผสมจำพวกนิเกิล โคบอล ไททาเนียม ส่วนหมอนรองกระดูกเทียมทำจากวัสดุจำพวกพลาสติกชนิดพิเศษ (Polyethylene) ไม่มีปฏิกิริยาต่อร่างกาย น้ำหนักเบา และใช้งานได้คงทน เป็นที่รู้จักของแพทย์ออร์โธปิดิกส์ทั่วโลก

ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด มีดังนี้

  • มีภาวะข้อเข่าเสื่อมที่มีการสึกหรอและเสื่อมสภาพซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากภาพถ่ายรังสี
  • มีอาการปวด บวม ตึงข้อเข่า ซึ่งส่งผลต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของผู้ป่วย
  • ได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วไม่ได้ผล

ขั้นตอนในการผ่าตัด

เป็นการผ่าตัดเปลี่ยนเฉพาะผิวของกระดูกทั้ง 3 ส่วนที่ประกอบกันเป็นข้อเข่า (กระดูกส่วนของต้นขา หน้าแข้ง และสะบ้า) โดยแพทย์จะตัดส่วนของผิวข้อที่สึกหรอหรืออักเสบออกไป ซึ่งมีความหนาประมาณ 8-10 มิลลิเมตร แต่งกระดูกให้ได้มุมรับกับผิวข้อเทียม แล้วจึงใส่ข้อเทียมด้านกระดูกต้นขา กระดูกหน้าแข้งซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้ทำด้วยโลหะอย่างดี โดยมีพลาสติกชนิดพิเศษซึ่งทำหน้าที่คล้ายกระดูกอ่อน คั่นอยู่ระหว่างข้อเทียมที่เป็นโลหะ ส่วนข้อเทียมที่ใส่ด้านหลังของกระดูกสะบ้าทำด้วยพลาสติกเช่นกัน และใช้ซีเมนต์พิเศษยึดระหว่างข้อเทียมกับกระดูกไว้ดังนั้นข้อเทียมจึงมีความแข็งแรงและทนทานยาวนาน


ยกระดับการผ่าตัด ด้วยตัวช่วยระงับความเจ็บปวด ฟื้นตัวเร็ว หลังผ่าตัด

ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลและระงับอาการปวดหลังผ่าตัด ด้วยวิธีการฉีดยาชาบริเวณรอบเส้นประสาทส่วนปลาย (Peripheral Nerve Block) ด้วยการใช้เข็มหรือใส่สายคา เพื่อให้ยาชาที่บริเวณเส้นประสาทส่วนปลาย ซึ่งเป็นวิธีระงับปวดที่มีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย และช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยากลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) และกลุ่มโอปิออยด์ (Opioid) ได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวหลังผ่าตัดได้เร็ว และลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล

> กลับสารบัญ


วิธีการดูแลข้อเข่าเทียมและการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัด

การดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา รวมถึงเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหวของข้อเข่าเทียม ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างใกล้เคียงปกติมากที่สุด ดังนี้

  1. ช่วงพักฟื้นในโรงพยาบาล (ประมาณ 4-5 วัน)
    • วันที่ 1-2 ให้ประคบเย็น บริเวณแผลผ่าตัดเพื่อลดอาการบวม ฝึกบริหารกล้ามเนื้อขา เน้นการงอและเหยียดขา ในผู้ป่วยที่ฟื้นตัวเร็ว อาจเริ่มฝึกยืนลงน้ำหนัก และหัดเดินด้วยอุปกรณ์ช่วยพยุงเดิน (Walker) ภายใต้การดูแลของแพทย์และนักกายภาพบำบัด
    • วันที่ 3-5 ให้ฝึกเดิน และฝึกขึ้น-ลงบันได นักกายภาพบำบัดจะแนะนำวิธีการฝึกใช้กำลังเข่าและขา หากสามารถเดินด้วยอุปกรณ์ช่วยพยุงเดินได้คล่องและไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านได้
    • ใน 2 สัปดาห์แรกหลังกลับบ้าน ให้เดินด้วยไม้ค้ำยันหรือคอกช่วยเดิน เพื่อลดแรงกดทับบนข้อเข่า และป้องกันการลื่นล้ม เดินในระยะสั้น ๆ ทุก 1-2 ชั่วโมง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ค่อย ๆ เพิ่มระยะทางและเวลา เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น และมาพบแพทย์ตามนัด เพื่อติดตามอาการและเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ หรือข้อเข่าหลวมในระยะยาว
  2. วิธีการดูแลข้อเข่าเทียม ได้แก่
    • สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ท่าทางที่เพิ่มแรงกดต่อข้อเข่า เช่น การนั่งพับเพียบ คุกเข่า ขัดสมาธิ นั่งยอง ๆ นั่งเก้าอี้เตี้ย นั่งไขว่ห้าง ไขว้ขา การบิดหมุนเข่าไม่ว่ากรณีใด ๆ กิจกรรมที่เสี่ยง เช่น การขึ้นลงบันไดโดยไม่จำเป็น ยกหรือแบกของหนัก ๆ และ การจัดท่านอน ไม่ควรใช้หมอนรองใต้เข่าเป็นเวลานานขณะนอนหลับ เพราะอาจทำให้เข่างอค้างได้
    • การควบคุมน้ำหนักตัว รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อลดแรงกดและแรงกระแทกต่อข้อเข่าเทียม ช่วยยืดอายุการใช้งาน
    • การจัดสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน จัดบ้านให้โล่ง สว่าง และไม่มีสิ่งกีดขวางบนทางเดิน ติดตั้งราวจับในจุดที่จำเป็น เช่น ห้องน้ำ หรือบันได เพื่อป้องกันการสะดุดล้ม
    • ออกกำลังกายและบริหารกล้ามเนื้อ ทำท่าบริหารกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของนักกายภาพบำบัด เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความมั่นคงของข้อเข่า

> กลับสารบัญ


ข้อเข่าเสื่อม รักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต

การผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมสำหรับผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมจัดเป็นการผ่าตัดเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ทำให้ผู้ป่วยหายจากอาการเข่าเสื่อมเจ็บปวดทรมาน สามารถกลับมาเดินได้ตามปกติ หรือใกล้เคียงปกติ สามารถออกไปใช้ชีวิตประจำวันได้ ออกกำลังกายหรือท่องเที่ยวได้ รวมถึงรูปร่างของข้อเข่าดูสวยงามขึ้น และด้วยนวัตกรรมที่ก้าวหน้าการผ่าตัดที่ศูนย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลนครธน นำมาใช้ จึงทำให้การผ่าตัดไม่น่ากลัวอีกต่อไปเพราะมีตัวช่วยในการจัดการความเจ็บปวดหลังผ่าตัด ด้วยการฉีดยาชาบริเวณรอบเส้นประสาทส่วนปลาย ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ช่วยระงับความเจ็บปวด ป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวหายได้เร็ว ลดการนอนโรงพยาบาล และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติเหมือนเดิม

> กลับสารบัญ


ช่องทางติดต่อโรงพยาบาลนครธน:

  1. - Website : https://www.nakornthon.com
  2. - Facebook : Nakornthon Hospital
  3. - Line : @nakornthon
  4. - Tel: 02-450-9999 (ตลอด 24 ชั่วโมง)


ปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพแบบออนไลน์
ไม่เสียค่าใช้จ่าย




Share :

สินค้าในตระกร้าไม่ถูกต้องตามเงื่อนไข, กรุณาตรวจสอบจำนวน
จัดการตระกร้าสินค้า

เมื่อคลิก “อนุญาตคุกกี้ทั้งหมด” หมายความว่าผู้ใช้งานยอมรับที่จะเปิดการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพ เพื่อเปิดใช้คุณสมบัติของโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการทำการตลาดและการโฆษณา รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลการใช้งานกับพาร์ทเนอร์โซเชียลมีเดีย