ไขมันพอกตับ กลุ่มโรคกินดีอยู่ดีที่สร้างปัญหา

ศูนย์ : ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ

บทความโดย : นพ. สมบุญ รุ่งจิรธนานนท์

ไขมันพอกตับ กลุ่มโรคกินดีอยู่ดีที่สร้างปัญหา

ไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) คือ ภาวะที่มีไขมันเข้าไปสะสมที่เนื้อตับมากกว่า 5-10% และมักจะเป็นไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride) ปกติไขมันที่ร่างกายได้รับจะถูกเผาผลาญที่ตับและเนื้อเยื่อต่างๆ แต่เมื่อร่างกายได้รับเกินความต้องการ ไขมันส่วนนั้นจะถูกสะสมในรูปแบบเนื้อเยื่อไขมัน แล้วค่อยๆสะสมที่ตับ จนมากเกินกว่าปกติ และส่งผลให้ตับทำงานผิดปกติ โดยทั่วไปจะไม่ค่อยมีอาการ พอนานวันขึ้น จะพัฒนาจนนำมาสู่การอักเสบภายในเนื้อตับอย่างเรื้อรัง ทำให้เกิดพังผืด เกิดภาวะตับแข็ง ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คุณอาจไม่รู้ตัวและอาจนำมาสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆจนถึงแก่ชีวิตได้


ไขมันพอกตับมี 4 ระยะ ดังนี้

  • ระยะที่ 1 เป็นระยะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเนื้อตับ ยังไม่มีอาการหรือการอักเสบเกิดขึ้นในตับ
  • ระยะที่ 2 เป็นระยะที่เริ่มมีอาการอักเสบของตับ หากไม่มีการรักษาและปล่อยให้การอักเสบเกินกว่า 6 เดือนอาจกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังได้
  • ระยะที่ 3 การอักเสบรุนแรงต่อเนื่องจนเกิดพังผืด (fibrosis) สะสมในตับ ระยะนี้เซลล์ตับค่อยๆ ถูกทำลายลงและกลายเป็นพังผืด
  • ระยะที่ 4 เซลล์ตับถูกทำลายไปมาก ส่งผลให้ตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เกิดภาวะตับแข็งและอาจนำมาสู่มะเร็งตับได้

เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามีไขมันพอกตับ?

ไขมันพอกตับ เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่จำเป็นต้องเป็นคนอ้วนเท่านั้น โดยมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น แต่ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงคือคนที่อ้วนลงพุง น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ผู้ตรวจพบโรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปถึง 60% โดยส่วนใหญ่โรคไขมันพอกตับจะไม่ค่อยแสดงอาการ หรือผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้เล็กน้อย รู้สึกปวดหน่วงบริเวณใต้ชายโครงขวา ซึ่งหากแพทย์สงสัยจะมีการส่งตรวจเพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติม



ปรึกษาแพทย์ออนไลน์

การตรวจวินิจฉัย

การวินิจฉัยโรคทำได้โดยเจาะเลือดเพื่อตรวจหาค่าการทำงานของตับ ได้แก่ ค่า ALT, AST, ALP ที่ผิดปกติ หรือดูจากอัลตราซาวด์ช่องท้อง การเจาะชิ้นเนื้อตับ (liver biopsy) และการตรวจด้วยเครื่อง Fibroscan ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ทางการแพทย์ที่ช่วยประเมินปริมาณไขมันในตับรวมถึงระดับพังผืดและตับแข็งได้โดยที่ผู้ป่วยไม่เจ็บตัว ใช้เวลาไม่นาน


การตรวจด้วยเครื่อง Fibroscan คืออะไร?

Fibroscan คือ เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ในการตรวจโรคเกี่ยวกับตับ โดยจะใช้เพื่อตรวจหาพังผืดในเนื้อตับ และตรวจวัดปริมาณไขมันสะสมในตับ ซึ่งการตรวจด้วยวิธีนี้ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนเมื่อเทียบกับวิธีตรวจแบบเดิมที่ต้องเจาะตับ นอกจากนี้ก็สามารถตรวจก่อนป่วยได้อีกด้วย เพราะยิ่งตรวจก่อน ยิ่งทำให้การรักษาได้ทันและมีประสิทธิภาพมากขึ้น


การเตรียมตัวก่อนตรวจ Fibroscan

ควรงดน้ำ งดอาหารที่ให้พลังงานอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนตรวจเลือด และตรวจด้วยเครื่อง Fibroscan


ข้อห้ามในการตรวจด้วยเครื่อง Fibroscan

  1. ผู้ป่วยที่ติดอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ในร่างกาย (Active implantable medical device) เช่น เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemekers) , ฝังแร่กัมมันตรังสี (Brachytherapy)
  2. หญิงตั้งครรภ์
  3. ผู้ที่มีภาวะท้องมาน

สาเหตุของโรคไขมันพอกตับ

  • โรคอ้วน
  • โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญ
  • การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี หรือการติดเชื้อเอชไอวี
  • การรับประทานอาหารพลังงานสูง
  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮล์มากเกินไป
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
  • การถ่ายทอดทางพันธุกรรม

ใครคือกลุ่มเสี่ยงบ้าง?

  • ผู้สูงอายุ
  • ผู้ที่มีคอเรสเตอรอลในเลือดสูง
  • ผู้ที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
  • ผู้ที่อ้วนลงพุง
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
  • ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน (Hypothyroidism)

แนวทางการรักษาและป้องกันภาวะไขมันเกาะตับ

  1. ในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน (BMI เกิน 25) ควรออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร เพื่อลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมอาหาร รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีไขมันต่ำ กากใยสูง และให้พลังงานต่ำ
  3. ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเป็นเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูง ควรควบคุมอาหาร ออกกำลังกายและรับประทานยาตามแพทย์สั่ง เพื่อควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่ไม่จำเป็น ตลอดจนผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่อาจมีผลข้างเคียงต่อตับ
  5. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  6. ตรวจสุขภาพเป็นประจำปี


ปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพแบบออนไลน์ ไม่เสียค่าใช้จ่าย




Share :

แพ็กเกจ/โปรโมชั่น

เมื่อคลิก “อนุญาตคุกกี้ทั้งหมด” หมายความว่าผู้ใช้งานยอมรับที่จะเปิดการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพ เพื่อเปิดใช้คุณสมบัติของโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการทำการตลาดและการโฆษณา รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลการใช้งานกับพาร์ทเนอร์โซเชียลมีเดีย